ด ว ง อ า ทิ ต ย์

ดวงอาทิตย์มีมวล = 2 x 1027 ตัน (หรือประมาณ 1.8 x 1030 กิโลกรัม) หรือประมาณ 330,000 เท่าของมวลโลก และประมาณ 1000 เท่าของมวลรวมดาวเคราะห์บริวารและกลุ่มสสารที่โคจรโดยรอบทั้งหมด มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1,392,000 กิโลเมตร โลกอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ประมาณ 93 ล้านไมล์ องค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นก๊าซไฮโดรเจนและก๊าซฮีเลียม ดังนั้นจึงมีความหนาแน่นเพียง 0.4 เท่าของความหนาแน่นของโลก แต่มีแรงดึงดูดที่ผิวมากกว่าโลกถึง 28 เท่า การหมุนรอบตัวเองที่บริเวณศูนย์สูตรจะหมุนช้ากว่าที่บริเวณขั้วเหนือและขั้วใต้ อุณหภูมิที่พื้นผิวประมาณ 6,000 องศาเคลวิน (องศาเคลวิน = องศาเซลเซียส + 273.15) และที่ศูนย์กลางประมาณ 15,000,000 องศาเคลวิน

ดวงอาทิตย์ประกอบด้วยกลุ่มก๊าซร้อน ส่วนที่เป็นขอบสว่างแผ่รังสีความร้อนและแสงสว่างเรียกว่า "โฟโตสเฟียร์" ชั้นที่ล้อมรอบโฟโตสเฟียร์ เป็นกลุ่มก๊าซสีแดงที่สุก ใสหนาประมาณ 10,000 กิโลเมตรเรียกว่า "โครโมสเฟียร์" มีก๊าซไฮโดรเจน เป็นพวกสีแดงพุ่งขึ้นสูงจากชั้นโครโมสเฟียร์สู่ชั้นโดโรนา ซึ่งเป็นกลุ่มก๊าซเจือจางสีค่อนข้างเหลืองและสีเขียวไข่มุกเป็นแสน ๆ กิโลเมตรเรียกว่า "ไพรมิเนนซ์" ชั้นนอกสุดที่ล้อมรอบโครไมสเฟียร์เป็นชั้นของก๊าซเรียกว่า "โคโรนา" พื้นผิวของดวงอาทิตย์ มีจุดสีคล้ำเรียกว่า"จุดบนดวงอาทิตย์"

จุดบนดวงอาทิตย์ที่ปรากฎอยู่บนชั้นโฟโตรสเฟียร์ เกิดจากอุณหภูมิบนพื้นผิวรอบๆ ลดลงอุณหภูมิที่ศูนย์กลางของจุดเหล่านี้ประมาณ 4,000 องศาเคลวิน มีความสว่างเพียงหนึ่งในห้าของชั้นโพโตร สเฟียร์ในเวลาปกติ บางจุดมีเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่กว่าโลกหลายเท่า และมีรูปร่างต่างๆ กัน เมื่อมองผ่านกล้องโทรทัศน์ชนิดพิเศษที่เรียกว่า"โคโรนากราฟ" จะเห็นจุดตรงกลางมีสีเข้มกว่าส่วนที่ล้อมรอบอยู่ "เทมัว" โดยความเป็นจริงแล้ว จุดดับ คือ พายุก๊าซไฟฟ้าที่หมุนบิดไปมาขณะที่มวลของก๊าซที่เคลื่อนที่ไปมาบนพื้นผิวดวงอาทิตย์ จะก่อให้เกิดแรงแม่เหล็กไฟฟ้ามหาศาล รวมทั้งรังสีเอ๊กซ์ความร้อน รังสีอุลตราไวโอเลตและความร้อน ซึ่งจะมีผลรบกวนเครื่องมือที่เกี่ยวกับแม่เหล็กและไฟฟ้าบนโลก ขนาดและจำนวนจุดดับดวงอาทิตย์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำ เสมอในช่วงเวลา 11 ปี

อุณหภูมิที่ผิวดวงอาทิตย์สูงประมาณ 5,700
ซึ่งที่อุณหภูมิระดับนี้ธาตุต่างๆ จะกลายเป็นก๊าซไปหมด ดังนั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มผิวของดวงอาทิตย์จึงเป็นบรรยากาศที่เบาบาง ประกอบด้วยก๊าซไฮโดรเจน ก๊าซฮีเลียม และแคลเซียมบางเวลาจะปรากฏเปลวไฟลุกโชติช่วงขึ้นไปในอวกาศ ซึ่งจะเห็นได้ชัดตอนเกิดสุริยุปราคาเต็มดวง รวมทั้งจะสังเกตเห็นแสงเรืองรองอยู่รอบดวงอาทิตย์ที่เรียกว่า "โคโรน่า" (Corona) ซึ่งประกอบด้วยอนุภาคอะตอมและอิเล็กตรอนรอน จากปรากฏการณ์นี้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเป็นผลของการเคลื่อนไหวของอนุภาคดังกล่าวในบรรยากาศ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิด "ลมสุริยะ" (Solar wind)

จุดบนดวงอาทิตย์ (Sun spots) คือบริเวณที่ความเข้มของแสงอาทิตย์บางจุดลดลง ทำให้มองเห็นเป็นจุดดำหรือจางกว่าบริเวณใกล้เคียง ซึ่งเรียกว่า "จุดบนดวงอาทิตย์" จุดที่ดำมากจะมีอุณหภูมิประมาณ 4,200แต่ไม่ต่ำกว่า 1,500เชื่อว่าเกิดจากกลุ่มก๊าซที่เคลื่อนที่จากภายในดวงอาทิตย์ระเบิดออกมาสู่ภายนอก ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอุณหภูมิต่ำกว่าบริเวณข้างเคียง จุดบนดวงอาทิตย์จะเกิดต่อเนื่องกันและมีอายุไม่กี่วันจนถึงกินเวลาเป็นเดือนๆ ขณะที่เกิดจุดจะทำให้สนามแม่เหล็ก ในระบบสุริยะเกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดของจุดจะแตกต่างกันไปตั้งแต่ 20,000-200,000 ไมล์ "กาลิเลโอ" เป็นนักวิทยาศาสตร์ท่านแรกที่ศึกษาเกี่ยวกับจุดบนดวงอาทิตย์และพบว่า จุดจะเคลื่อนที่จากทิศตะวันออกมายังทิศตะวันตก ซึ่งตรงกับที่นักวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบันพบ จากปรากฏการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าดวงอาทิตย์หมุนรอบตัวเอง โดยทั่วไปจุดบนดวงอาทิตย์จะเกิดเป็นกลุ่ม มักเกิดเป็นสองบริเวณใหญ่ๆ คือ บริเวณเหนือใต้ของเขตศูนย์สูตร ส่วนบริเวณศูนย์สูตรหรือเลยเส้นรุ้งที่ 35แล้วจะมีน้อยมาก จำนวนจุดจะขึ้นกับเวลาประมาณทุกๆ 11 ปี จำนวนจุดบนดวงอาทิตย์จะมีมากที่สุด และจะค่อยๆ ลดลงจนกระทั่งถึงปีที่ 6 หรือ 7 จะไม่มีจุดเลย และจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอีกจนกระทั่งปีที่ 11 จะมากที่สุด เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า "วัฏจักรของจุดบนดวงอาทิตย์"

จุดบนดวงอาทิตย์มีผลต่อโลก คือ
        1. ในช่วงที่มีจุดบนดวงอาทิตย์มากที่สุด ดวงอาทิตย์จะปล่อยแสงอัลตราไวโอเลตและรังสีเอ๊กซ์มากผิดปกติ ซึ่งเป็นผลให้คลื่นวิทยุจางหายไป
        2. ขณะเกิดจุดจะมีอนุภาคโปรตอนและอีเล็คตรอนจำนวนมหาศาลพุ่งออกมาจากจุดดับนี้ ทำให้เกิดพายุแม่เหล็ก (
magnetic storms) และแสงเหนือ-ใต้ นอกจากนี้ยังทำให้รังสีคอสมิคมีการเปลี่ยนแปลง